คาราวาน MAZDA DNA SKYACTIV CARAVAN กับเส้นทาง EAST – WEST ECONOMIC CORRIDOR จากเวียดนาม-ลาว-ไทย-พม่า

หลังจากการเดินทางในประเทศเพื่อนบ้านรอบๆบ้านมาหลายครั้งหลายครา มาคราวนี้เป็นอีกครั้งที่ได้ร่วมคาราวานของทางมาสด้า ซึ่งคาราวานครั้งนี้ เดินทางโดยฝูงสกายแอคทีฟนับ 10 คัน ขับเโดยสื่อมวลชนพร้อมด้วยผู้บริหาร และทีมงานกว่าร้อยชีวิต แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ที่จะมาสลับผลัดเปลี่ยนกันควงพวงมาลัย เพื่อร่วมสร้างเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ เชื่อมโยงอารยธรรม บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ เชื่อมโยงวัฒนธรรม ไปกับกิจกรรม MAZDA DNA SKYACTIV CARAVAN โดยมาสด้าปักหมุดไว้ที่เส้นทางสายเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง สืบเนื่องจากความร่วมมือจาก 6 ประเทศ ประกอบด้วย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน และไทย ได้ร่วมผนึกกำลังทางเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การลงทุนด้านอุตสาหกรรม ด้านการเกษตร และด้านการบริการ เพิ่มคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชากร

กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก 6 ประเทศ ได้มีการกำหนด 9 เส้นทางหลัก เพื่อเป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ Greater Mekong Subregion  (GMS) โดยขบวนคาราวานรถยนต์มาสด้าจะออกโลดแล่นไปบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ แนวตะวันออกมุ่งหน้าสู่ตะวันตก หรือที่รู้จักกันในชื่อ EAST-WEST ECONOMIC CORRIDOR เรียกว่าเส้นทาง R2 หรือ R9 เมื่ออยู่ในประเทศลาว ที่เชื่อมสองมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ จากมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก หรือทะเลจีนใต้ กับมหาสมุทรอินเดียตะวันตก สัมผัสขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รวมไปถึงการเติบโตของสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียน

โดยคาราวานจะใช้เส้นทาง R2 หรือ R9 เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางครั้งนี้ รวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 2,900 กิโลเมตร ในระหว่างวันที่ 20-26 มิถุนายน 2560 รวมระยะเวลา 7 วัน โดยผู้ร่วมเดินทางกลุ่มแรกจะเริ่มต้นภารกิจครั้งนี้ด้วยการบินลัดฟ้าสู่เมืองเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม (วันที่ 20-23 มิ.ย. 2560) ถือเป็นโอกาสที่ทางมาสด้าจะได้พาคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์มาสด้าในแถบอาเซียน ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองเว้ ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของเวียดนาม ก่อนที่จะเข้าสู่ด่านชายแดนลาวบาวของเวียดนาม-ลาว และข้ามแม่น้ำโขงผ่านประเทศลาวด้วยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เข้าสู่ประเทศไทยในจังหวัดมุกดาหาร ผ่านขอนแก่น มุ่งหน้าสู่พิษณุโลกซึ่งเป็นจังหวัดที่รัฐบาลไทยปลุกปั้นให้เป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงการเดินทางจากทั่วทุกสารทิศ นั่นคือ “4 แยกอินโดจีน” ด้วยตำแหน่งที่อยู่กึ่งกลางจุดตัดระหว่าง NSEC และ EWEC จึงเกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจจากทั้ง 4 ทิศ ภาครัฐจึงสนับสนุนให้เกิดการลงทุน มีการจัดตั้งศูนย์บริการกระจายสินค้า และการท่องเที่ยวทางธรรมชาติสร้างรายได้ให้ครัวเรือนได้อีกด้วย

การเดินทางช่วงที่ 2 รับช่วงต่อโดยผู้ร่วมเดินทางกลุ่มที่สอง (วันที่ 23-25 มิ.ย. 2560) ประเดิมวันแรกกับเส้นทางพิษณุโลก สู่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อข้ามแดนสู่เมืองมะละแหม่ง เมืองตากอากาศชายทะเล ประเทศพม่า ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองย่างกุ้ง เมืองหลวงประเทศพม่า ศูนย์กลางทางการค้าหลักที่สำคัญของประเทศ ก่อนจะปิดท้ายทริปด้วยบรรยากาศและความงดงามของสาวพม่า ณ “ตลาดสก๊อต” ก่อนที่จะส่งมอบพวงมาลัยต่อให้ร่วมเดินทางกลุ่มสุดท้าย (วันที่ 24-26 มิ.ย. 2560)

สำหรับผมนั้นได้ร่วมเดินทางกับกลุ่มที่ 3 โดยการนั่งเครื่องมาลงที่เมืองย่างกุ้งก่อนที่แวะเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมืองย่างกุ้ง สภาพบ้างเมืองนั้นแตกต่างจากการเดินทางเมื่อสามปีก่อน บ้านเมืองมีการพัฒนา การก่อสร้างตึกใหม่ๆ ในตัวเมืองนั้นมีให้เห็นได้เป็นระยะ การจราจรนั้นหนาแน่นขึ้นกว่าคราวก่อนที่เคยมาอย่างเห็นได้ชัด

จุดแรกที่ได้แวะนั้นคือ  ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือ ตลาดโบยกอองซาน (Bogyoke Aung San Market)ซึ่งเป็นสถานที่ช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศพม่า เป็นแหล่งศูนย์รวมของฝากทุกชนิดเป็นตลาดที่มีสินค้าหลากหลายมาก ตั้งแต่อาหารนานาชนิดเสื้อผ้าของที่ระลึกต่างๆ เครื่องเงิน, อัญมณี, ไม้แกะสลักพระพุทธรูปเทวรูปที่ทำด้วย ไม้จันทน์, เครื่องแกะสลัก, เครื่องลงรัก ปิดทองต่างๆ, ถ้วยชามกังไสจีนโบราณ, โคมไฟแก้ว และแจกันเจียระไนโบราณ ตลาดนี้ สร้างโดยนายสก๊อต ชาวอังกฤษ ตลาดสก๊อต เป็นตลาดที่มีอาคารหลายหลังเชื่อมต่อกันหลายหลัง มีสินค้าแทบทุกชนิด

จุดที่สองคือวัดพระตาหวาน หรือพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดของพม่ามีความยาว 65 เมตร นอนตะแคงขวาและถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามที่สุดในพม่า พระพักตร์ได้รูปตาสีขาวขนตางอนยาว ดวงตาเป็นแก้วเปลือกตาสีฟ้า แต้มสีแดงที่พระโอษฐ์ จีวรพริ้วไหวราวกับของจริง จึงได้ชื่อว่า “พระตาหวาน” ที่ปลายสุดพระบาทมีภาพวาดลายธรรมจักรฝ่าพระบาท รายล้อมด้วยรูปมงคล 108 ประการ แสดงถึงโลกทั้ง 3 คือ เครื่องหมาย 59 ประการ แสดงถึงอากาศโลก เครื่องหมาย 21 ประการ แสดงถึงสัตว์โลก และเครื่องหมาย 28 ประการ แสดงถึงสังขารโลก

ไฮไลท์อันสุดท้ายนั้นคือ เจดีย์ชเวดากอง  เจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะซึ่งสวยงามมาก เนื่องด้วยความศรัทธาในองค์พระ เจดีย์ของชาวพม่าที่มักจะนิยมการบริจาคเพชรพลอยของมีค่าต่างๆ ให้กับพระเจดีย์ ทำให้ เจดีย์องค์นี้มีเครื่องประดับเป็นจำนวนมากกว่า 5,000 ชิ้น โดยเฉพาะเพชร ที่ประดับอยู่บน ยอดเจดีย์นั้นกล่าวกันว่ามีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือคนเลยทีเดียว ส่วนด้านล่างรอบๆ เจดีย์ จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปจำนวนมาก และมีไม้แกะสลักประดับอยู่อย่างสวยงาม

เจดีย์ชเวดากอง แปลว่า พระเจดีย์ทองคำแห่งเมืองตะเกิง เป็นพระเจดีย์ทองคำ ที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ชื่อว่า Thienguttara Hill หรือ Singuttara Hill เจดีย์นี้จึงเป็นสิ่งก่อ สร้างที่มีความโดดเด่นมากในเมืองย่างกุ้ง โดยขนาดของเจดีย์ชเวดากองนี้มีความสูงทั้งหมด ประมาณ 48 เมตร มีความกว้างโดยประมาณ 105 เมตร

หลังจากได้เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆในเมืองย่างกุ้งเมื่อได้เวลาคณะของเราก็เดินทางกลับเข้าสู่โรงแรมไปสมทบกับกลุ่มที่สองที่ได้ เดินทางมาถึงแล้ว ก่อนที่จะร่วมงานเลี้ยงที่ทางมาสด้าจัดให้

เริ่มขับรถเดินทางวันแรก จากย่างกุ้งมุ่งสู่ จุดหมายปลายทางคือ แม่สอด จังหวัดตาก ผมรับหน้าที่ไม้แรกโดยรับ มาสด้า 3 พร้อมผู้โดยสารอีก สามท่าน การขับรถในช่วงแรกนั้นต้องปรับความคุ้นชินกันใหม่เพราะทางพม่านั้นขับพวงมาลัยซ้ายกัน แต่รถเรานั้นเป็นพวงมาลัยขวา บวกกับ การขับรถในตัวเมืองนั้นการจราจรหนาแน่แต่ยังดีที่เขตตัวเมืองชั้นในนั้นห้ามรถมอเตอร์ไซค์วิ่ง ในเมืองนั้นยังเป็นถนนขนาดสี่เลนอยู่ เมื่อออกจากเมืองแล้ว ถนนก็ลดลงเหลือเพียงสองเลนสวนเท่านั้น การขับคาราวานในครั้งเราใช้วิทยุสื่อสารคอยบอกเวลารถแซงหรือรถสวนมา ช่วยให้การขับขี่นั้นไม่ต้องกังวลมาก

คาราวานของเราได้ขับรถไปทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ผ่านเมืองมุโดง เมืองสะเทิม และเมืองบาโกหรือหงสาวดี-เมืองตองอู คาราวานของเราได้จอดรถที่สะพานข้ามแม่น้ำสะโตงเพื่อถ่ายภาพและชมความงามของแม่น้ำสายนี้  โดยแม่น้ำสะโตงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเขตหงสาวดีกับรัฐมอญ จากนั้นคาราวานเคลื่อนตัวมุ่งหน้าสู่เมืองมะละแหม่ง เส้นทางช่วงนี้เป็นถนนสวนทางซึ่งไม่กว้างมากนัก และมีไหล่ทางเป็นลูกรัง เส้นทางคดเคี้ยว หากมีรถใหญ่สวนมาขบวนรถของเราต้องหักหลบแบบตัวใครตัวมัน แถมถนนแถวนี้ไม่สามารถทำความเร็วได้มากเพราะถนนเป็นหลุมบ่อ แต่เมื่อถึงเวลาเร่งแซงอัตราเร่งแซง มาสด้า 3 ก็ตอบสนองได้แบบทันใจ และช่วงล่างยังซับแรงกระแทกจากหลุมบ่อได้ดีกว่าที่คิดไว้ เมื่อเข้าสู่เมืองเมียวดีใกล้ด่านแม่สอด ก็มีรถตำรวจท้องถิ่นนำคณะคาราวาน เรามู่งสู่ด่านแม่สอด เมื่อถึงด่านแม่สอดกว่าจะทำพิธีการต่างๆทั้งรถทั้งคนเรียบร้อย ก็ล่วงเลยเวลามาย่ำค่ำ เราแวะไปรับประทานอาหารกันที่ ร้านอาหารซีฟู๊ด บ ใบไม้ ก่อนที่จะแยกพักผ่อนเพราะขับรถกันมาเกือบๆ 500 กิโลเมตร

วันสุดท้ายของการเดินทาง ด่านแม่สอดมุ่งหน้าสู่ กทม. ระยะทางสำหรับวันนี้ คือ 500 กิโลเมตร โดยวันนี้มีการสลับรถกันครั้งนี้เปลี่ยนไปนั่ง มาสด้า CX5 SUV คันเก่งของทางมาสด้าเช่นเดิมครับไปกันสี่คน กว่าจะพ้นจากอำเภอแม่สอดได้นั้นต้องใช้เวลานานมากสำหรับครั้งนี้เพราะมีการขยายถนนออก เพื่อรองรับกับเขตเศษฐกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คงไม่ต้องเล่าอะไรมากเกี่ยวกับ CX5 แม้จะใกล้ที่จะเปลี่ยนโฉมแล้ว แต่การขับขี่นั้นคุณภาพยังคับแก้วเช่นเดิม ไม่ว่าอัตราเร่งที่มาแบบทันใจ ช่วงล่างซับแรงได้ดี นั่งในรถไม่ว่าจะขึ้นเขาลงเขา ทางจะคดเคี้ยวยังไงก็ไม่เวียนหัว อันมาจากการออกแบบในแนวคิด สกายแอคทีฟ คณะเราแวะพักรถและช้อปปิ้งที่ตลาดมูเซอ แวะอุดหนุนสินค้าโอทอปกันก่อนจะมุ่งหน้าสู่กรุงเทพอย่างปลอดภัย

 

เป็นอันจบภาระกิจกับคาราวาน MAZDA DNA SKYACTIV CARAVAN กับเส้นทาง EAST – WEST ECONOMIC CORRIDOR จากเวียดนาม-ลาว-ไทย-พม่า เชื่อมโยงอารยธรรม เชื่อมโยงเศรษฐกิจจากมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรอินเดีย รวมระยะทางกว่า 2,900 KM.ทุกก้าว คือ การพัฒนา เพราะเรากล้า…ที่จะต่าง

################################################

premsak@caronline.net

 

Facebook Comments