เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตอกย้ำการเป็นผู้นำยนตรกรรม electric Driving เปิดตัวเอสยูวีรุ่นล่าสุด GLE 500 e 4MATIC

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ Mercedes-Benz electric Driving ผุดแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW เพื่อตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งด้านนวัตกรรมยานยนต์ พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาเรื่องล่าสุด “Loopbreaker” เพื่อสื่อสารถึงความโดดเด่นของรถยนต์กลุ่ม electric Driving ใน 3 ด้าน คือ นวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) สมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) และเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) พร้อมกันนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง โดยมาให้เลือกสรรใน 2 ดีไซน์ ได้แก่ GLE 500 e 4MATIC Exclusive นำเสนอในราคา 4,490,000 บาท และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic นำเสนอในราคา 4,990,000 บาท

DSC_6753 ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)
มร. ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะไม่หยุดนิ่งในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทั้งในวันนี้ และวันข้างหน้า เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงนำเสนอยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ให้กับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving นับเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงก้าวย่างสำคัญของเราบนเส้นทางสู่โลกของการขับขี่ที่ไม่มีการปล่อยไอเสีย และยังพิสูจน์ด้วยว่าไม่ได้มีเพียงรถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่เทคโนโลยีระบบส่งกำลังที่ก้าวล้ำก็ทำให้รถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน”

มร ไมเคิล เกรเว่ และ มร ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ (2)
“บริษัทฯ วางแผนที่จะนำเสนอรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นการปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย (Zero Emission) ในอนาคต ตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคในฐานะเจ้าแห่ง ยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งยังเป็นผู้นำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้กลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้เพื่อเป็น แนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025”
“เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้นำเสนอรถยนต์รุ่น The S 500 e และ The C 350 e รถยนต์ซีดานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดออกสู่ตลาด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคทั้งในด้านเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และสมรรถนะอันทรงพลัง ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่รวมความแข็งแกร่งและ ความสง่างามอย่างที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อเติมเต็มกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในกลุ่มนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มีกลุ่มเป้าหมายคือลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะอันทรงพลัง พร้อมทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ แต่ยังคงตอบโจทย์ทั้งในเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” และ “ความประหยัด” ได้เป็นอย่างดี” มร.ไมเคิล กล่าวเพิ่มเติม

มร ไมเคิล เกรเว่ และ มร ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ (1)
มร. ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์หลักเพื่อเตรียมพร้อมสู่การก้าวเข้าสู่โลกยานยนต์แห่งอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ คือสร้างการรับรู้ถึงสมรรถนะอันชาญฉลาดของรถยนต์ Mercedes-Benz electric Driving โดยนำเสนอผ่านแคมเปญการตลาด DEFINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบภาพยนตร์สั้น เรื่อง “Loopbreaker” โดยมี คุณชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) นำแสดงภายใต้การกำกับของผู้กำกับมือทอง อย่าง คุณเป็นเอก รัตนเรือง เพื่อถ่ายทอดนิยามใหม่ของ ยนตรกรรม Mercedes-Benz electric Driving ทั้งใน ด้านนวัตกรรมอันล้ำสมัย (Innovations) อย่าง โหมดการทำงานของรถยนต์ในกลุ่ม Mercedes-Benz electric Driving ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ คือ Hybrid, E-Mode, E-Save และ Charge หรือระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสมที่สุด ด้านสมรรถนะอันทรงพลัง (High Performance) ด้วยโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ คือ Individual (I), Sport+ (S+), Sport (S), Comfort (C) และ Economy (E) พร้อมกำลังแรงม้าและแรงบิดจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (electric Drive) ที่ผู้ขับขี่สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบโดยไม่มี การคายไอเสียด้วยโหมด E-Mode พร้อมทั้งสามารถลดอัตราการใช้พลังงานในรถยนต์ ผ่านการนำพลังงานที่เกิดขึ้นจากการเหยียบแป้นเบรกหรือปล่อยให้รถเคลื่อนที่โดยไม่อาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
มร. ฟรังค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภายในงาน เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังได้ทำการเปิดตัวMercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ยนตรกรรมกลุ่มเอสยูวีที่เป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด นวัตกรรม ด้านยานยนต์ และรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับ GLE 500 e 4MATIC มีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium โดยรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับ การปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 83 กรัม/กิโลเมตร

Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC Exclusive (2) GLE 500 E_-52

ดีไซน์ภายนอก

โดดเด่นด้วยลายเส้นสวยคมสะดุดตา พร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ เส้นสายหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้าย ที่เน้นดีไซน์แบบเรียบหรู ล้ำสมัย โดยรุ่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ คือ GLE 500 e 4MATIC Exclusive และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ที่ตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตรงกลาง, กันชนด้านหน้าพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโครเมียม, ขอบหน้าต่างแบบโครเมียม, ปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อ, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ไฟท้าย และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED, กระจกมองข้างด้านผู้ขับขี่และกระจกส่องหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, บันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ต พร้อมปุ่มยางกันลื่น โดย GLE 500 e 4MATIC Exclusive จะมาพร้อมกับล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว สี Himalayas grey ส่วน GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะเพิ่มลุคสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 20 นิ้ว สี titanium grey, ชุดแต่ง AMG bodystyling ที่บริเวณกันชนหน้า-หลัง, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน, สัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า รวมถึงเพิ่มความรู้สึกกว้างขวางด้วยหลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิด ได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric panoramic sliding glass sunroof)

 

ดีไซน์ภายใน

 

 

ยังคงเน้นความหรูหรา สง่างาม แต่แฝงกลิ่นอายความสปอร์ตเอาไว้เช่นเดิม โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico, พวงมาลัย มัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์   (Push start), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth โดยสำหรับ GLE 500 e 4MATIC Exclusive ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง และมาพร้อมระบบมัลติมีเดีย อย่าง วิทยุซีดี MB Audio 20 สำหรับ                     GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic จะตกแต่งด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon® Logic 7® และ  ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apply CarPlay™)

นอกจากนี้ห้องโดยสารภายใน ของทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง                  1:3 / 2:3 ตามความต้องการเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของที่เพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มสุนทรียศาสตร์แห่งการขับขี่ด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี

 

 GLE 500 E_ (1) - Copy GLE 500 E_-6 GLE 500 E_

นวัตกรรม / เทคโนโลยี

รถยนต์ GLE 500 e 4MATIC ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID ได้ถึง 4 แบบ คือ
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้า ผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้ สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
• CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่องแรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC มาพร้อมกับระบบ Dynamic Select ที่มีโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ Individual ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, Comfort ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Slippery เหมาะกับการวิ่งบนถนนที่ลื่น, Sport และ Sport+ เน้นการเพิ่มความเร้าใจให้กับการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น

GLE 500 E_-52 GLE 500 E_-80
ระบบความปลอดภัย ใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมฟังก์ชัน Electronic Traction System 4ETS, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE system, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Electronic Stability Program – ESP), ระบบกันสะเทือนแบบ AIRMATIC, ระบบรักษาสมดุลของตัวรถเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง (Crosswind assist), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน (Adaptive Brake Light), ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock braking system – ABS), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Acceleration skid control –ASR), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ (ATTENTION ASSIST), ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC), เซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้าจอด (PARKTRONIC), ระบบ ช่วยการนำรถ เข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) เป็นต้น

มร.ไมเคิล เกรเว่ มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์และชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต

GLE 500 e 4MATIC ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน แบบวี เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ ความจุ กระบอกสูบ 2,996 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 333 แรงม้า และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ความเร็วรอบ 1,600-4,000 ต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม/ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย พร้อมด้วยการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็น จากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้ อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม.
*อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และ อัตราการปล่อย CO2 อ้างอิงจากการทดสอบตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปเพื่อจุดประสงค์ในการเปรียบเทียบความแตกต่างของรถยนต์ในแต่ละประเภทเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงกับรถยนต์คันใดคันหนึ่งโดยเฉพาะและไม่สามารถนำไปใช้เป็นข้อผูกมัดในการเสนอขายสินค้าได้

ภาพหมู่ผู้บริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด GLE 500 E_-52

 

GLE 500 e 4MATIC Exclusive ราคา 4,490,000 บาท

GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 4,990,000 บาท

Facebook Comments